‘อิชิตัน กรุ๊ป’ เดินหน้ารุกตลาดเออีซี
ดึงไอดอลอินโดฯ เปิดตัวยิ่งใหญ่ อิชิตัน กรีนที ฮันนี่ เลมอนและลิ้นจี่
มั่นใจติด Top 10 ใน 5 ปี ในตลาดเครื่องดื่มอินโดนีเซีย
หลังแถลงข่าวก่อตั้ง “บริษัท พีที อิชิตัน อินโดนีเซีย จำกัด” ไปเมื่อปลายปี 2557 ซึ่งเป็นความร่วมมือ ระหว่าง บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่มีประสบการณ์ด้านการตลาดและความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการผลิตชาพร้อมดื่มจากประเทศไทย บริษัท พีที อาทรี่ แปซิฟิค จำกัด ที่มีความแข็งแกร่งด้านการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม และบริหารร้านสะดวกซื้อในกลุ่มอัลฟ่ามาร์ท กว่า 10,000 สาขาในอินโดนิเซีย และ มิตซูบิชิ คอร์เปอร์เรชั่น บริษัทที่ทรงพลังด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น
ล่าสุด พีที อิชิตัน อินโดนีเซีย ได้จัดงานเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับในประเทศอินโดนิเซีย ด้วยการวางจำหน่ายสินค้า อิชิตัน กรีนที ฮันนี่เลมอน และ อิชิตัน กรีนที ลิ้นจี่ โดยมี อัล กาซาลี และ เพวิตา เพียร์ซ 2 ซูเปอร์สตาร์ชาวอินโดนิเซียมาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ผลิตภัณฑ์อิชิตันทั้ง 2 รสชาติแรกนำร่องเป็นการพัฒนารสชาติขึ้นใหม่โดยฝ่ายการตลาดและฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ของอิชิตัน อินโดนิเซีย ให้ถูกปากกลุ่มเป้าหมายชาวอินโดนิเซียอย่างแท้จริง ขั้นต้นวางจำหน่ายในขนาดบรรจุ 420 มล. ราคา 4,900 รูเปียห์ ที่ Alfamart, Alfamidi และร้านสะดวกซื้อชั้นนำในประเทศอินโดนิเซีย พร้อมประกาศความมั่นใจว่าจากความแข็งแกร่งของ 3 บริษัท ชั้นนำ จาก 3ประเทศ จะทำให้อิชิตัน อินโดนิเซียมียอดขายขึ้นแท่นท็อป 10 ของตลาดชาพร้อมดื่มประเทศ อินโดนิเซียที่มีมูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี
ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีจำนวนประชากรมากกว่า 250 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและวัยทำงานที่พร้อมเปิดรับเครื่องดื่มใหม่ๆ ซึ่งมีกำลังซื้อสูง และยังมีวัฒนธรรมการดื่มชาเป็นประจำคู่กับมื้ออาหาร ทำให้ตลาดชาในอินโดนีเซียมีมูลค่ามากกว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับอิชิตัน กรุ๊ป และมีแนวโน้มที่จะสามารถขยายตัวต่อไปได้อีกในอีกหลายปีข้างหน้า”
สินค้าทั้งหมดที่วางจำหน่ายในประเทศอินโดนิเซียในระยะแรกจะใช้ฐานการผลิตที่อิชิตัน กรีน แฟคทอรี่ ในประเทศไทย ซึ่งจะสร้างความได้เปรียบให้กับ อิชิตัน กรุ๊ป หลายด้าน ทั้งการใช้เทคโนโลยีการผลิตในระบบ บรรจุเย็นแบบปลอดเชื้อ ซึ่งมีความสามารถผลิตเครื่องดื่มได้หลากหลาย อันจะเป็นการใช้ศักยภาพด้านกำลังการผลิตอย่างคุ้มค่า ส่งผลไปถึงการบริหารต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2558 ที่วางจำหน่าย คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับ บริษัท อิชิตันกรุ๊ปไม่ต่ำกว่า 120 ล้านบาท และเมื่อบริษัทมั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดอินโดนิเซียจึงจะมีการลงทุนสร้างโรงงานอีกแห่งในประเทศอินโดนิเซียในอนาคต