หลอน!

หลอน!

“เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาจริงๆเลยนะ เพิ่งจะคุยกับป้าศรีนวลเมื่อ2วันก่อนแท้ๆแกมาเคาะห้องแล้วยื่นกล่องพัสดุให้แกบอกว่าส่งผิดห้อง ” ฉันรำพึงกับแม่บ้านประจำคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย หลังทราบข่าวการเสียชีวิตอย่างกระทันหันภายในห้องที่อยู่เยื้องๆกับฉัน
“พี่จะไปฟังพระสวดกับหนูไหมอยู่วัดหัวลำโพง”แม่บ้านสาวถาม “คงไม่ไปหรอกแค่ส่งกระแสจิตก็พอ ” พูดจบก็เดินลงจากตึกไปทำงานตามปกติในช่วงสายๆ 
4ทุ่มเศษ ฉันฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ขาดสายมาจนถึงคอนโดฯในสภาพเปียกปอน นาทีนั้นฉันจ้ำอ้าวหลังประตูลิฟท์เปิดอ้าเมื่อมาจอดสนิทบริเวณชั้น3 โดยจับลูกกุญแจให้อยู่ในทิศทางที่เสียบปุ๊บบิดล็อกแก๊กเดียวประตูเปิดทันทีด้วยความกลัว 
บริเวณชั้น3ของคอนโดมิเนียมที่เงียบสงัด ไฟสลัวจากเพดานฉายแสงส้มหม่นๆ กับเสียงลมพายุหวีดร้องภายนอกอาคารยิ่งทำให้น่าสะพรึงกลัว แน่นอนว่าฉันต้องผ่านด่านห้องป้าศรีนวลไปก่อน จึงจะถึงห้องฉัน แม้จะจับลูกกุญแจในท่าเตรียมที่กำหนดไว้แต่มือเจ้ากรรมกับสั่นสะท้านเพราะความหนาวที่เนื้อตัวชุ่มไปด้วยน้ำฝน แค่ห้วงสั้นๆ กับฟลอชั้น3สุดตัวตึกแต่มันช่างเป็นเส้นทางที่แสนยาวไกลฉันกลั้นหายใจและหลับตาปี๋เมื่อผ่านห้องป้าศรีนวลที่กลายเป็นห้องร้างและถูกปิดตาย และอีกนิดเดียวกุญแจที่อยู่ในท่าเตรียมจะถึงเป้าหมาย
“แก๊กๆๆๆ” เสียงฝีเท้าย่างเหยาะเบาๆเหมือนรองเท้าฟองน้ำเดินตามหลังฉันเป็นจังหวะ กลิ่นเหม็นสาปสางอวนแตะจมูกแต่เมื่อฉันหยุดเดินเสียงฝีเท้าก็หายกลายเป็นความเงียบเข้ามาแทนที่ทันที ขนตามตัวลุกซู่ ประชันกับความหนาวเหน็บฉันกัดฟันฝ่าความกลัวและแสงสลัวเดินต่อคราวนี้ขาก้าวไม่ออกแต่ เสียงรองเท้าฟองน้ำเบาๆกลับเดิมต่อ”แก๊ะๆๆๆ”ใกล้เข้ามา และใกล้เข้ามา ฉับพลันทันใดนั้นไฟจากเพดานก็ดับวูบลง กลิ่นสางๆพร้อมกับกลิ่นธูปลอยคลุ้งยามนั้นขาฉันแข็งจริงๆราวกับโดนล็อกให้อยู่กับที่ในใจคิด “ทำไมไม่มีคนเดินมาบ้างวะ!.. มีคนขึ้นมาหน่อยเถอะ” น้ำตาเจ้ากรรมแทบไหลพร้อมๆกับฉี่ที่แทบจะราด เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาฉันตัดสินใจกลับหลังหันเพื่อให้รู้ว่า มันคือเสียงอะไรกันแน่ ขณะที่มือยังกำลูกกุญแจแน่น 
ภาพที่เห็นฉันต้องตกตะลึงร่างหญิงชราวัย70เศษ ใบหน้าซีดเผือดอยู่ในชุดนอนสีขาวกรุยกรายยาวถึงตาตุ่ม ปล่อยผมยาวรุงรัง ทันใดนั้นขาก็ลอยขึ้น ลอยขึ้น ลอยขึ้นจนศรีษะชนเพดานแล้วกางแขนทั้งสองข้างออกก้มมองต่ำมาที่ฉันเหมือนจะพยายามลอยมากอดฉัน ตาสีแดงถลนในความมืดยามนั้นฉันทำอะไรไม่ถูกแผ่นหลังครูดชิดพนังอาคารแน่นพยายามเลื่อนตัวให้มาถึงห้องตัวเองแต่ก็ไม่อาจขยับได้ ดวงตากลมโตคู่นั้นของฉันที่เคยเผชิญภาพเบื้องหน้ามาทุกสิ่งบัดนี้กลับต้องหลบฉากไม่กล้าประสานไปที่ตาแดงกล่ำคู่นั้น เพราะ ภาพยังคงปรากฎอยู่แบบนั้น ฉันลืมบทสวดมนต์ไปเสียสิ้นทำอะไรไม่ถูกขนหัวลุกตลอดเวลา
อาการจุกหน้าอกแน่นหายใจไม่ออกจนทุรนทุรายเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่เสียงในลำคอที่จะเล็ดออกมาทั้งๆที่อยากจะกรีดร้องหรือไม่ก็ตะโกนให้คนช่วย “น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลพรากโดยไม่รู้ตัวด้วยความกลัวฉี่เริ่มเล็ดเพราะกลั่นไม่อยู่ไหลผสมกับน้ำฝนที่เปียกชุ่มกางเกง ขณะที่ภาพอันสยองพองขนยังคงปรากฎรางๆ ไม่เพียงแค่นั้น วิญญาญนั้นค่อยๆ ลอยลดระดับต่ำลง.. ต่ำลง และต่ำลงจนประชิดที่ตัวฉันที่ยืนแน่นิ่งแข็งทื่ออยู่ “แป๊กๆ ..โอ้ยยย” ฉันเอามือตบกะบาลตัวเองพร้อมๆกับเสียงอุทานด้วยความเจ็บ ” นี่กรูจะคิดหลอนตัวเองไป เพื่อ ?”55555

 

โดย ปารณีย์

ปารณีย์หลอนเรื่องสั้น
Comments (0)
Add Comment